ผู้นำกับความคิดสร้างสรรค์
ความคิดสร้างสรรค์คือ การคิดและตัดสินใจดำเนินการ หรือแก้ไขปัญหาที่มีลักษณะแตกต่างจากการตัดสินใจปกติประจำที่เคยเป็น ซึ่งการคิดและการตัดสินใจนี้สามารถให้ผลที่น่าพอใจหรือสามารถแก้ ปัญหาได้จริงในทางปฏิบัติ
โดยปกติลักษณะของความคิดมี 2 แบบ คือ ความคิดเชิงวิเคราะห์ (Analytical Thinking) กับ ความคิดเชิงสร้างสรรค์ (Creative Thinking) ทั้งสองมีความแตกต่างดังนี้
ความคิดเชิงวิเคราะห์ ความคิดสร้างสรรค์
ใช้เหตุผล ใช้จินตนาการ
คาดคะเนได้ คาดคะเนไม่ได้
มีขอบเขต กว้างกระจาย ไร้ขีดจำกัด
เป็นแนวดิ่ง เป็นแนวราบ
ความคิดสร้างสรรค์มักถูกใช้ใน 2 ด้านได้แก่ ด้านการสร้างสรรค์งานศิลปะต่างๆ กับด้านของการแก้ไขปัญหา ในที่นี้จะกล่าวถึงในด้านการนำความคิดสร้างสรรค์มาใช้เพื่อแก้ปัญหาต่างๆ เท่านั้น ไม่ขอกล่าวถึงความคิดสร้างสรรค์ในแง่ศิลปะ
ลักษณะของความคิดสร้างสรรค์
- ความคิดสร้างสรรค์เป็นกระบวนการ ไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นวูบวาบฉับพลัน แต่เป็นกระบวนการความ คิดที่เป็นขั้นตอน เป็นระบบ และไม่ใช่ความเพ้อฝันไร้สาระ แต่เป็นกระบวนการที่สามารถนำไปสู่การปฏิบัติได้
- ความคิดสร้างสรรค์เป็นคุณสมบัติเฉพาะตัว ไม่ได้มีมาตรฐานวัด ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคลในแต่ละสถานการณ์
- ความคิดสร้างสรรค์มุ่งคิด หรือแก้ปัญหาด้วยมุมมองหรือแนวทางใหม่ ไม่ได้ยึดตามมาตรฐานเดิม
- ความคิดสร้างสรรค์เป็นความคิดเชิงบวก เป็นการเริ่มต้นจากทัศนะที่ว่า ปัญหาทุกอย่างแก้ไขได้ และทุกอย่างพัฒนาให้ดีขึ้นได้
- ความคิดสร้างสรรค์เป็นทักษะที่ฝึกฝนกันได้
ประโยชน์ของความคิดสร้างสรรค์
1. ช่วยให้เกิดพัฒนาการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น
2. ช่วยพัฒนามนุษย์ในด้านการคิด แก้ปัญหา และจินตนาการ
อุปสรรคของความคิดสร้างสรรค์
- นิสัยที่ชอบยึดติดกับสิ่งเดิมๆ การกระทำเดิมๆ สถานการณ์เดิมๆ ที่ตนคุ้นเคยจึงไม่อยากเปลี่ยน แปลงอะไร
- ไม่ให้เวลา ไม่จัดเวลา จึงอ้างว่าไม่มีเวลาคิดอะไรสร้างสรรค์
- การอ้างว่ามีปัญหาท่วมท้น หมกมุ่นกังวลอยู่กับปัญหา จมอยู่กับปัญหา จนไม่ยอมให้เวลาคิดแบบใหม่
- การคิดว่าไม่มีปัญหา ทุกอย่างดีสมบูรณ์อยู่แล้วทำให้ไม่ต้องการการเปลี่ยนแปลง
- การกลัวความล้มเหลวและกลัวถูกวิพากษ์วิจารณ์ จึงไม่อยากเปลี่ยนแปลง
วิธีพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
การพัฒนาความคิดสร้างสรรค์มี 4 ขั้นตอน ได้แก่
1. กำหนดปัญหาโดย
1) เพ่งปัญหาที่แท้จริง โดย (1) ถามว่าอะไรคือปัญหา และ (2) แยกแยะตัวปัญหา
2) ตั้งใจจับประเด็นปัญหาให้มั่น โดยระบุประเด็นปัญหาให้ชัดเจนไม่เลื่อนลอย ไม่กำกวม
3) ขยายขอบเขตความคิด ลองขยายวัตถุประสงค์หรือเป้าหมายที่ต้องการออกไปให้กว้างกว่า
ความคิดเดิม วัตถุประสงค์เดิม
2. เปิดรับแนวทางแก้ปัญหาโดย
1) หาตัวกระตุ้นความคิด ลองหาสิ่งที่จะสามารถจุดประกายความคิดใหม่ๆที่ตนเองไม่เคยคิดมาก่อนทำได้หลายวิธี เช่น การพูดคุยกับคนอื่น การอ่าน ดูโทรทัศน์ ฯลฯ สิ่งเหล่านั้นไม่จำเป็นต้องมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับสิ่งที่เรากำลังคิดอยู่โดยตรง อาจเป็นคนละเรื่องเลยก็ได้ อาจใช้เทคนิคการระดมสมองก็ได้
2) คิดอะไรที่ประหลาดๆ ลองตั้งใจคิดให้แปลกๆเพ้อฝัน ฟังดูบ้าๆบอๆ
3) พิจารณาความละม้ายคล้ายคลึง ลองสังเกตดูความคิดหรือการกระทำของคนอื่นที่เคยต้องแก้ไขปัญหาเรื่องเดียวกับเรา ลองสังเกตความละม้ายคล้ายคลึง ความสอดคล้องกัน แล้วลองลอกเลียนแบบ เพื่อนำมาพัฒนาปรับปรุงเพิ่มเติมตามความคิดสร้างสรรค์ของเรา
4) ประกอบความคิดเข้าด้วยกัน ลองเอาแนวคิดที่ใกล้เคียงกันมาประกอบกัน ลองเอาแนวคิดที่ต่างกันมากไม่เกี่ยวข้องกันเลยมาประกอบกัน ลองเอาวัตถุประสงค์ต่างๆที่เราต้องการมาประกอบกัน
3. การเลือกความคิดโดย
1) บูรณาการความคิด รวบรวมความคิดต่างๆที่เกิดขึ้นทั้งหมด ควรเขียนออกมาเพื่อความชัดเจน แล้วพิจารณาผลดีผลเสียของแต่ละความคิดเปรียบเทียบ จากนั้นก็ตัดสินใจเลือกว่าจะเอาความคิดใด
2) สร้างความคิดให้หนักแน่น เอาความคิดที่เลือกแล้วมาพิจารณาอีกครั้ง เพื่อพยายามลดข้อผิดพลาดหรือจุดอ่อนของความคิดนั้น โดยเปิดรับการวิพากษ์วิจารณ์และข้อโต้แย้งทั้งจากตัวเองและผู้อื่น รวมทั้งผู้ที่ไม่เป็นมิตรกับเราด้วย
3) เสริมพลังความคิด ทำได้ 3 ขั้นตอนคือ (1) ระบุผลดีและผลเสียในการนำความคิดไปปฏิบัติ โดยจัดเรียงจากผลดีที่สุด และผลเสียที่สุดไว้ก่อน (2) ปรับปรุงความคิดและเสริมเติมวิธีการอื่น เพี่อลดผลเสียที่สุด หรือผลเสียมากๆ และเพิ่มผลดีให้มากขึ้น (3) ตัดสินใจว่าหลังจากปรับปรุงความคิดดังกล่าวแล้ว จะผลักดันความคิดให้เป็นผลหรือไม่ถ้าหยุดก็หยุดเลย แล้วไม่ต้องนำมาคิดซ้ำซากอีก ถ้าจะผลักดันต่อก็ทำให้ถึงที่สุดไปเลย
4. การแปลงความคิดไปสู่การปฏิบัติโดย
1) เผชิญหน้ากับอุปสรรค อุปสรรคของการนำความคิดมาสู่การปฏิบัติ เกิดได้ทั้งจากตนเองและผู้อื่น ทุกคนที่จะทำสิ่งใหม่ล้วนแต่ต้องพบกับอุปสรรค ผู้ที่จะประสบความสำเร็จคือผู้ที่จิตใจเข้มแข็ง ไม่ย่อท้อ พยายาม ฟันฝ่าอุปสรรคทั้งหลาย
2) ยืดหยุ่นและปรับตัว รู้จักยืดหยุ่นและปรับปรุงความคิดของเราให้เหมาะสมกับสถานการณ์ สภาพแวดล้อม และข้อจำกัดต่างๆ เพื่อให้ความคิดนั้นสามารถเกิดผลเป็นจริงได้
3) วางแผนปฏิบัติ วางแผนในการใช้ความคิดนั้นอย่างเป็นระบบ และมีแผนดำเนินการอย่างละเอียด ว่าจะทำอะไรก่อนหลัง ทำเมื่อไหร่ ใครทำ ทำอย่างไร ใช้ทรัพยากรอะไรบ้าง
4) กล้าเสี่ยงและเผื่อใจสำหรับความล้มเหลว คนที่คิดสร้างสรรค์ทุกคนมักจะต้องมีประสบการณ์ของความล้มเหลวบ้าง แต่คนที่ไม่เคยล้มเหลวคือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย
วิธีฝึกตัวเองให้เป็นคนมีความคิดสร้างสรรค์
- ฝึกใช้ความคิดตลอดเวลา โดยวิธีการตั้งคำถามใหม่ๆเสมอ และพยายามหาเหตุผลว่าทำไมเป็นอย่างนั้น และไม่เป็นอย่างนี้
- ฝึกการคิดอย่างรอบด้าน ไม่ติดยึดกับความคิดในแนวใดแนวหนึ่งแนวเดียว
- พยายามสลัดความคิดเดิมๆที่ครอบงำอยู่ พยายามคิดแหวกแนวไปจากกฎเกณฑ์ดั้งเดิม แม้ว่าอาจจะดูพิลึกพิลั่นไปบ้าง
- จัดระบบความคิด ได้แก่ (1) หาเหตุหาผล (2) จัดกลุ่ม (3) เปรียบเทียบ (4) มองหลายมิติ (5) ค้นหาความจริง
- ฝึกตนเองให้ ฟัง คิด อ่าน เขียน
- ฝึกตนเองให้เป็นคนรักการอ่าน การฟัง และการดู รวมทั้งฝึกให้เป็นคนช่างสังเกต เพราะจะเป็นการสะสมประสบการณ์ทางอ้อม และเป็นตัวกระตุ้นความคิดใหม่ๆ
- ฝึกการระดมสมอง ซึ่งจะทำให้ได้ความคิดสร้างสรรค์จากหลายๆคน
- ไม่กลัวการเสียหน้าหรือความล้มเหลว
- มีทัศนคติที่ว่าทุกอย่างพัฒนาได้ หรือสิ่งดีมีมากกว่าหนึ่ง เป็นต้น จะทำให้ความคิดพัฒนาไม่หยุดนิ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น