คริสเตียนต้องเป็นผู้นำ
การเป็นผู้นำและภาวะผู้นำ : ความหมาย
คำว่า “นำ” มีความหมายพื้นๆตามพจนานุกรมว่า ไปข้างหน้า หรือ เริ่มต้นโดยมีผู้อื่นหรือสิ่งอื่นตามหรือทำตาม ฉะนั้น “ผู้นำ” จึงหมายถึงผู้ที่ไปข้างหน้า หรือผู้ที่เริ่มต้นโดยมีผู้อื่นตามหรือสิ่งอื่นทำตาม เมื่อพิจารณาให้ลึกซึ้งขึ้นก็จะได้ความหมายที่สอดคล้องกับภาคปฏิบัติมากขึ้นว่า การนำคือ การใช้อิทธิพลต่อผู้อื่นจนทำให้คนเหล่านั้นพยายามบรรลุถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ และผู้นำก็คือผู้ที่ใช้อิทธิพลต่อผู้อื่นจนทำให้คนเหล่านั้นพยายามบรรลุถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้
คนที่มีภาวะผู้นำก็หมายถึง การที่บุคคลมี “ความสามารถที่จะมีอิทธิพลต่อผู้อื่นจนพวกเขาสมัครใจที่จะเชื่อฟังและทำตาม”
การ “ใช้อิทธิพล” หรือ “มีอิทธิพล” ที่ว่านี้ ไม่ได้หมายถึงอิทธิพลด้านตำแหน่ง อำนาจ การให้คุณให้โทษ การให้ผลประโยชน์ แต่หมายถึงการมีอิทธิพลด้านจิตใจที่ทำให้ผู้คนมีความรัก ความศรัทธา ความเชื่อถือต่อเรา จนยอมทำตามเราด้วยความสมัครใจ
ผู้นำมีหน้าที่ทำอะไร
การนำหรือการเป็นผู้นำประกอบด้วยหน้าที่มากมาย แต่แบ่งเป็นหน้าที่หลักๆได้ 4 ประการด้วยกัน ประการแรก คือ คิด ผู้นำต้องเป็นสมองของกลุ่มคนที่ตนนำอยู่ ผู้นำต้องคิดเป้าหมาย คิดวิธีการ คิดวางแผน คิดตัดสินใจ คิดแก้ปัญหา
ประการที่สองคือ สื่อสาร ผู้นำต้องสื่อสารกับกลุ่มที่ตนนำเพื่อบอกเป้าหมายทิศทาง สื่อสารเพื่อบริหาร มอบหมาย ควบคุม แก้ปัญหา สร้างความเข้าใจ สอน สื่อสารเพื่อชมเชย ตำหนิ รวมทั้งสื่อสารเพื่อจูงใจ สร้างความร่วมมือร่วมใจ สร้างขวัญและกำลังใจ
ประการที่สามคือ ตัดสินใจ ผู้นำคือผู้ที่ต้องตัดสินใจในเรื่องต่างๆของกลุ่มอยู่เสมอ โดยเฉพาะการตัดสินใจขั้นสุดท้ายและการตัดสินใจเรื่องยากๆเสมอ
และประการสุดท้ายคือ สร้างการเปลี่ยนแปลง การมีภาวะผู้นำที่แท้จริง หรือสุดยอดของภาวะผู้นำคือ เขาต้องสามารถทำให้กลุ่มเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ได้
ภาวะผู้นำสำคัญไฉน
พระคัมภีร์ช่วยให้เราเห็นความสำคัญของผู้นำหลายประการด้วยกัน
ทุกสังคมจำเป็นต้องมีผู้นำ
พระคัมภีร์กล่าวถึงความจำเป็นที่สังคมต้องมีการนำ และต้องเป็นการนำที่ดีด้วย พระคัมภีร์กล่าวว่า -ที่ไหนที่ไม่มีการนำ ประชาชนก็ล้มลง” (สุภาษิต 11:14) “จงทำสงครามด้วยมีการนำที่ฉลาด” (สุภาษิต 20:18) “เพราะว่าโดยการนำที่ฉลาด เจ้าก็เข้าสงครามได้” (สุภาษิต 24:6) นอกจากนี้ พระคัมภีร์ยังยอมรับบทบาทของผู้นำทางสังคม ผู้มีอำนาจปกครอง เจ้าหน้าที่บ้านเมืองโดยยอมรับว่าเขาเหล่านั้นได้รับอำนาจในการปกครองจากพระเจ้าที่ประชาชนควรให้เกียรติและเชื่อฟัง (รม.13:1-7)
ที่ใดก็ตามที่มีกลุ่มคนอยู่ร่วมกัน หากที่นั่นปราศจากผู้นำและการนำ ที่นั่นก็จะไร้ทิศทาง และ
ไร้ระเบียบ คนกลุ่มนั้นจะพบกับความวุ่นวาย ไร้ประสิทธิภาพ ขาดพลัง และไม่ประสบความสำเร็จใน
เรื่องใดๆ
ผู้นำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชุมชนคริสเตียน
ตลอดประวัติศาสตร์ของชนชาติอิสราเอลในพระคัมภีร์เดิม พบว่าในทุกยุคทุกสมัย พระเจ้าทรงใช้คนบางคนให้ทำหน้าที่นำประชากรของพระองค์ เช่น อับราฮัม อิสอัค ยาโคบ โยเซฟ โมเสส โยชูวา ผู้วินิจฉัยต่างๆ ซาอูล ดาวิด ซาโลมอน ฯลฯ
ในยุคของผู้วินิจฉัย พระคัมภีร์กล่าวว่า “ในสมัยนั้นไม่มีกษัตริย์ในอิสราเอล ต่างก็กระทำตามที่ตนเองเห็นชอบ” (วนฉ.21:25) ยุคนั้นเป็นยุคที่ชนชาติอิสราเอลมีแผ่นดินเป็นของตนเองแล้ว พวกเขาก็ต่างคนต่างอยู่ และไม่มีใครเป็นผู้นำ ผลก็คือประชาชนแต่ละเผ่าต่างก็ทำตามใจตนเอง ไร้ทิศทางไร้ระเบียบ ขาดพลัง สังคมก็ศีลธรรมเสื่อม มีความวุ่นวาย เมื่อศัตรูมารุกรานก็พ่ายแพ้โดยง่าย
เมื่อพระเยซูเสด็จมาพระองค์ทรงเป็นผู้นำของเหล่าสาวก ในยุคคริสตจักรก็มีผู้นำคริสตจักรหลายคน เช่น เปโตร ยอห์น ยากอบ เปาโล บารนาบัส ฯลฯ
ยิ่งกว่านั้นคริสตจักรยุคแรกยังมีนโยบายที่ต้องตั้งผู้นำไว้สำหรับคริสตจักรท้องถิ่นทุกแห่ง เปาโลตั้งผู้ปกครองดูแลและมัคนายกไว้ในทุกคริสตจักรเพื่อให้ทำหน้าที่นำคริสตจักร (กจ.14:23) ท่านสอนทิตัสและ ทิโมธีให้ตั้งผู้ปกครองดูแลไว้ในทุกคริสตจักร (ทต.1:5) ทั้งยังได้กำหนดคุณลักษณะของผู้ปกครองดูแลและมัคนายกที่จะทำหน้าที่นำคริสตจักรท้องถิ่นแต่ละแห่งด้วย (1 ทธ.3:1-13;ทต.1:5-11)
งานที่เกี่ยวข้องกับคนมากขึ้น ยิ่งต้องมีผู้นำจำนวนมากขึ้น
เมื่อโมเสสต้องนำชนชาติอิสราเอลออกจากประเทศอียิปต์ การที่ผู้นำเพียงคนเดียวต้องดูแลแก้ปัญหาของผู้คนนับล้าน ย่อมเป็นเรื่องที่เหน็ดเหนื่อยและขาดประสิทธิภาพเป็นอย่างยิ่ง จึงมีคำแนะนำว่าต้องมีการตั้งคนที่เหมาะสมให้เป็นผู้นำเพิ่มขึ้น และมอบหมายหน้าที่ให้ดูแลกลุ่มคนจำนวนระดับต่างๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า “ท่านจงเลือกคนที่สามารถจากพวกประชาชนคือ แต่งตั้งคนอย่างนี้ไว้เป็นผู้ปกครองคน พันคนบ้าง ร้อยคนบ้าง ห้าสิบคนบ้าง สิบคนบ้าง ให้เขาพิพากษาความของประชาชนอยู่เสมอ ส่วนคดีใหญ่ๆก็ให้เขานำมาแจ้งต่อท่าน แต่คดีเล็กๆน้อยๆให้เขาตัดสินเอง การงานของท่านจะเบาลง และพวกเขาจะแบกภาระร่วมกับท่าน ถ้าทำดังนี้และพระเจ้าทรงบัญชาแล้ว ท่านก็จะสามารถทนได้ ประชาชนทั้งปวงนี้ก็จะไปยังที่อาศัยของเขาด้วยความสงบสุข” (อพย.18:21-23)
ในยุคคริสตจักร คริสตจักรในกรุงเยรูซาเล็มมีปัญหาเรื่องสมาชิกที่เพิ่มขึ้นมาก จนกระทั่งอัครทูตสิบสองคนไม่สามารถดูแลผู้เชื่อได้อย่างทั่วถึง จึงเกิดการบ่นติเตียนในหมู่สมาชิก พวกเขาจึงแก้ปัญหาโดยการตั้งผู้นำอีกเจ็ดคนขึ้นมาทำหน้าที่ช่วยเหลือดูแล (กจ.6:1-4)
ทั่วพระคัมภีร์เราได้เห็นแบบอย่างของการสร้างผู้นำหรือเตรียมผู้นำเพื่อให้ช่วยแบ่งเบางานเพื่อขยายงาน หรือเพื่อสืบทอดงานต่อไป ตัวอย่างเช่น โมเสสสร้างโยชูวาและคาเลบ พระเยซูทรงสร้างอัครสาวกสิบสองคน เปาโลสร้างลูกา ทิโมธี ทิตัส และสิลาส บารนาบัสสร้างมาระโกเป็นต้น
จากทั้งหมดที่กล่าวมา เรากล่าวได้ว่าผู้นำเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกสังคม ทุกชุมชน ทั้งชุมชนคริสเตียนและสังคมทั่วไป ทุกสังคมต้องมีผู้นำ หากเราต้องการให้พระเจ้าใช้เราได้มาก เราต้องพัฒนาตนเองให้มีความเป็นผู้นำ
และไม่เพียงแต่ต้องมีผู้นำเท่านั้น แต่ต้องมีการสร้างผู้นำให้มีจำนวนมากพอกับงานด้วย งานจึงจะมีประสิทธิภาพและเกิดผลกว้างไกลออกไป
เราอาจทำงานสำเร็จได้แม้ไม่มีภาวะผู้นำ แต่...
การมีภาวะผู้นำจะทำให้เราทำงานได้ใหญ่ขึ้น
การมีภาวะผู้นำจะทำให้เราทำงานง่ายขึ้น
การมีภาวะผู้นำจะทำให้เราทำงานเบาขึ้น
การมีภาวะผู้นำจะทำให้เราทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การมีภาวะผู้นำจะทำให้เราประสบความสำเร็จง่ายขึ้น
การมีภาวะผู้นำจะทำให้ความสำเร็จนั้นคงอยู่ยาวนานขึ้น
การมีภาวะผู้นำจะทำให้เราช่วยคนอื่นได้มากขึ้น
การมีภาวะผู้นำทำให้พระเจ้าใช้เราได้เกิดผลมากขึ้น
คริสตจักรกับภาวะผู้นำ
คริสตจักรก็เป็นกลุ่มคนที่ต้องมีผู้นำเช่นกันและต้องการผู้นำที่มีภาวะผู้นำสูงเป็นพิเศษด้วย เพราะคริสตจักรเป็นกลุ่มคนที่มีลักษณะพิเศษบางประการที่ทำให้นำยากกว่าการนำองค์กรทั่วไปทั้งภาครัฐและภาคธุรกิจ เนื่องจากองค์กรทั่วไปเป็นองค์กรว่าจ้าง แต่คริสตจักรเป็นองค์กรอาสาสมัคร ผู้นำขององค์กรทั่วไปใช้การว่าจ้างให้คนมาทำงานให้ คนในองค์กรนั้นจึงเชื่อฟังง่ายขึ้นเพราะรับค่าจ้างจากผู้นำ ในขณะที่คริสตจักรเป็นกลุ่มคนที่มารวมตัวกันด้วยความสมัครใจ คนที่มาไม่ได้รับค่าตอบแทนใดๆเลย อีกทั้งยังต้องมาอุทิศตัว และถวายทรัพย์ให้งานของคริสตจักรอีกด้วย นอกจากนี้ผู้นำองค์กรทั่วไปยังสามารถดึงดูดคนให้เข้ามาได้ไม่ยากนักเนื่องจาก ใช้เงิน เกียรติ อำนาจ หรือความสนุกสนาน ฯลฯ เป็นสิ่งจูงใจซึ่งคนทั่วไปชอบได้ง่ายอยู่แล้ว แต่คริสตจักรจะดึงดูดคนยากกว่ามากเนื่องจากคริสตจักรใช้เรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ และความเชื่อศรัทธาเป็นสิ่งจูงใจ เช่น สวรรค์ ชีวิตใหม่ ความบริสุทธิ์ ความดี ความรัก ซึ่งสิ่งเหล่านี้คนทั่วไปมักมองข้ามความสำคัญ
และอีกประการหนึ่ง องค์กรทั่วไปมีอำนาจบังคับได้รุนแรง แต่คริสตจักรไม่มีอำนาจบังคับรุนแรง ผู้นำองค์กรทั่วไปมักมีอำนาจทางกฎหมายหรือกฎระเบียบที่มีอำนาจบังคับได้อย่างเด็ดขาดซึ่งสามารถก่อผลเสียหายให้แก่คนที่ฝ่าฝืนได้อย่างรุนแรง เช่น ในทางสังคมคนทำผิดกฎหมายก็ถูกปรับ จำคุก ยึดทรัพย์หรือประหารชีวิต หรือกรณีองค์กรธุรกิจหรือราชการ คนที่ไม่เชื่อฟังก็ถูกตัดเงินเดือน ถูกย้าย ลดตำแหน่ง พักงาน หรือไล่ออก ในขณะที่คริสตจักรไม่มีอำนาจให้ผลร้ายเช่นนั้น สิ่งรุนแรงที่สุดที่คริสตจักรทำได้ต่อผู้ที่ฝ่าฝืนระเบียบก็คือ ตัดจากการเป็นสมาชิกซึ่งคนจำนวนมากอาจไม่รู้สึกว่าตนเองเสียหายอะไรมากนัก นอกจากอาจเสียชื่อ หรือเสียความรู้สึกบ้าง
ยิ่งกว่านั้น ยังไม่นับการที่องค์กรทั่วไป คนในองค์กรไม่ต้องถูกกดดันจากครอบครัวและสังคม แต่สมาชิกคริสตจักรต้องเผชิญกับแรงกดดันในครอบครัวและสังคมในการมารับเชื่อในพระเยซูคริสต์และการมาคริสตจักร
เหตุผลเหล่านี้ยืนยันว่า คริสตจักรเป็นองค์กรที่นำยากกว่าองค์กรทั่วไปทั้งในภาครัฐ และภาคธุรกิจ ฉะนั้นคริสตจักรจึงจำเป็นต้องมีผู้นำที่มีภาวะผู้นำมากกว่าองค์กรทั่วไปเสียด้วยซ้ำ
ด้วยเหตุนี้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คริสตจักรต้องมีการสร้างคริสเตียนให้มีภาวะผู้นำมากๆ และต้องพัฒนาผู้นำคริสตจักรให้มีภาวะผู้นำมากๆ เพื่อคริสตจักรของพระเจ้าจะเกิดผลได้ดี
จอร์จ บาร์นา (George Bama) นักวิจัยคริสเตียนที่มีชื่อเสียงกล่าวว่า ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คริสตจักรเกิดผลคือ ผู้นำซึ่งก็คือศิษยาภิบาล เขากล่าวว่าศิษยาภิบาลจะต้องมีภาวะผู้นำที่ดี และระบบของคริสตจักรต้องเอื้อให้ผู้นำที่ดีทำหน้าที่นำ และยังบอกถึงสาเหตุที่คริสตจักรจำนวนมากไม่เกิดผลเท่าที่ควรว่า “ศิษยาภิบาลส่วนใหญ่ที่ผมพบล้วนแต่เป็นคนดี เป็นคนชอบธรรมน่านับถือ แต่ปัญหาก็คือ พวกเขามักไม่ใช่ผู้นำ” เขายืนยันว่า “งานคริสตจักรที่สำคัญที่สุดคือการนำ” และกล่าวต่อว่า “...แต่สิ่งที่บรรดาศิษยาภิบาล มักทำมากที่สุดคือ เทศนา แทนที่จะทำหน้าที่นำ” แม้การเทศนาเป็นสิงที่ดี เป็นสิ่งจำเป็น แต่การเทศนาไม่ใช่การนำ แม้ว่าอาจใช้เป็นส่วนหนึ่งของการนำได้ การนำคริสตจักรนั้นยากกว่าการเทศน์มาก ศิษยาภิบาลอาจไมใช่นักเทศน์ที่เก่ง ซึ่งก็สามารถให้คนอื่นเทศนาแทนบ้างได้ แต่สิ่งที่ทดแทนไม่ได้คือ ตัวเขาต้องเป็นผู้นำที่ดี เขาต้องทำหน้าที่คิด สื่อสาร ตัดสินใจ และสร้างความเปลี่ยนแปลง ไปสู่เป้าหมายให้เกิดขึ้นแก่คริสตจักรได้
บางคนอาจไม่ยอมรับเรื่องนี้โดยแย้งว่า ภาวะผู้นำไม่สำคัญเท่ากับยุทธศาสตร์ และทีมงานคริสตจักร แม้ไม่มีผู้นำที่ดี แต่ถ้ามียุทธศาสตร์ดี วิธีการดี ระบบดี และทีมสมาชิกดี คริสตจักรก็สามารถประสบความสำเร็จได้ ในข้อนี้อย่าลืมว่าผู้นำคือ ผู้ที่ตัดสินใจสุดท้ายของคริสตจักรผู้ชี้นำคริสตจักร แม้คริสตจักรจะมียุทธศาสตร์ที่ดี ระบบที่ดี และทีมสมาชิกที่ดี แต่ถ้าขาดผู้นำที่ดีการทำตามยุทธศาสตร์ที่ดีก็จะขาดประสิทธิภาพ ระบบที่ดีจะสะดุด และสมาชิกที่ดีจะขาดขวัญและกำลังใจ หมดไฟที่จะร่วมรับใช้ ถึงตอนนั้นยุทธศาสตร์และระบบทุกอย่างจะเป็นง่อยทันที ด้วยเหตุนี้แม้ว่าระบบที่ดีจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่พระเจ้าก็ทรงเน้นคุณภาพคนมากกว่าระบบ
คริสตจักรเกิดได้โดยผู้นำ คงอยู่ได้โดยผู้นำ และขยายได้ก็โดยผู้นำ
และโดยการนำที่ดี คริสตจักรจะเกิดขึ้น คงอยู่
และขยายตัวอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง