วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

ผู้นำกับวิสัยทัศน์และเป้าหมาย

วิสัยทัศน์และเป้าหมายของผู้นำ
ลักษณะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของคนที่มีภาวะผู้นำก็คือ เขาเป็นคนที่มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายวิสัยทัศน์ (หรือบางครั้งใช้คำว่า “นิมิต”) หมายถึงการสามารถมองเห็นอนาคตหรือหยั่งรู้อนาคต ส่วนเป้าหมายคือ สิ่งที่อยากทำให้เกิดขึ้นในอนาคต รวมทั้งการกำหนดจุดที่ชัดเจนในอนาคตที่หวังจะไปให้ถึง
ผู้คนจะติดตามคนที่มีวิสัยทัศน์และเป้าหมาย เพราะผู้คนอยากตามคนที่รู้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร และควรจะเดินมุ่งสู่อนาคตอย่างไร ยิ่งกว่านั้นพวกเขาอยากตามคนที่มองเห็นได้ไกลกว่าตนเอง ผู้นำที่ไร้ทั้งวิสัยทัศน์และเป้าหมาย อาศัยเพียงความสนิทสนมส่วนตัวกับผู้ตาม หรือบุคลิกภาพที่ดี จะพบว่าแม้บรรดาผู้ตามยังคงรักเขา แต่ในที่สุดผู้คนที่มีความคิดและต้องการความก้าวหน้าก็จะหันไปหาผู้นำใหม่ที่พวกเขามั่นใจในวิสัยทัศน์และเป้าหมายมากกว่า ฉะนั้น ผู้นำจึงต้องมองอนาคตเสมอในขณะที่ยังต้องทำสิ่งต่างๆในปัจจุบัน
การนำต้องเริ่มจากการมีวิสัยทัศน์ เป้าหมาย แล้วต่อจากนั้นก็จะเป็นเรื่องการวางแผนและการปฏิบัติการ เพื่อนำพาตัวเองและผู้ตามให้ไปถึงเป้าหมายนั้นให้ได้
วิธีกำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมาย
1. ประมวลมุมมองเพื่อสร้างวิสัยทัศน์
วิสัยทัศน์คือการมองเห็น และเป็นการมองเห็นที่เกิดจากการพยายามมองในหลายมิติ ทั้งมองลึก มองกว้าง มองใกล้และมองไกล วิธีที่ช่วยให้เราสามารถมองเห็นจนเกิดวิสัยทัศน์สำหรับตัวของเราและคนที่เรานำอยู่ มีดังนี้คือ
  1. มองตนเอง ดูว่าเรารู้สึกลึกๆอย่างไร เราใฝ่ฝันอยากเห็นอะไรเกิดขึ้นหรืออยากทำอะไร เราเชื่อมั่นในอะไร มีอะไรในชีวิตนี้ที่เราจะบากบั่นมุ่งไป ไม่ว่าจะมีอุปสรรคขัดขวางเพียงใดก็ตาม ขณะเดียวกันก็ดูว่าทุกวันนี้ตัวเราเป็นอย่างไร มีจุดแข็งจุดอ่อนอะไร มีต้นทุนชีวิตอะไรบ้างมองตัวเองทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต
  2. มองรอบตัว ดูว่าเรามีทรัพยากรอะไรบ้าง ไม่ว่าจะเป็น คน เงิน เครื่องมือ อุปกรณ์เวลา กำลัง ความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ สายสัมพันธ์ อำนาจ ฯลๆ มองปัจจัยเหล่านี้ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต
  3. มองคนอื่น ดูว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับคนอื่นๆทั่วไป ทั้งไกลตัวและใกล้ตัวเรา มองสังคมโดยรวม ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ภูมิภาค ชาติ ทวีป และทั่วโลก มองทั้งด้านเศรษฐกิจ สังคมการเมือง สิ่งแวดล้อม และจิตวิญญาณ มองคนอื่นทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต
  4. มองพระเจ้า ดูว่าพระเจ้ามีน้ำพระทัยอะไรในชีวิตของเรา ทั้งนี้น้ำพระทัยทั่วไปที่เรารู้ได้จากการทรงสำแดงทั่วไปในการอ่านพระคัมภีร์ (2 ทธ.3:16) และนํ้าพระทัยเฉพาะเจาะจงที่เรารู้ได้จากการทรงสำแดงพิเศษ (กจ.26:19) เราต้องให้นํ้าพระทัยมีความสำคัญสูงสุดในชีวิตของเราเหนือ กว่าความต้องการของคนอื่นและตัวเราเอง เราต้องมุ่งทำให้นิมิตที่พระเจ้าประทานให้สำเร็จ(กจ.26:19; 2 ทธ.4:5) และนอกจากนี้ พระเจ้ายังทรงสามารถประทานนิมิตใหม่ หรือขยายนิมิตแก่เราได้ ซึ่งเราก็ต้องพร้อมจะเชื่อฟัง (กจ.10:9-33) มองสิ่งที่พระเจ้าทรงมีนํ้าพระทัยต่อเราทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคต
เมื่อมองทุกมุมและทุกมิติแล้ว ให้นำมาประมวลแล้วมองไปยังภาพรวมอนาคตว่า แนวโน้มอนาคตคืออะไร มีโอกาสอะไรและสิ่งคุกคามอะไร และเราอยากเห็นอะไรเกิดขึ้นกับเราและคนที่เรานำ สิ่งที่เราอยากเห็นและอยากเป็นนั้นมีความเป็นไปได้เพียงใด จากนั้นก็สรุปแล้วเขียนออกมาเป็นถ้อยคำแห่งวิสัยทัศน์ในชีวิตของเราที่เราจะดำเนินตามไป
2. กำหนดวิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ครอบคลุมและชัดเจน
เมื่อได้วิสัยทัศน์แล้วก็นำวิสัยทัศน์มากำหนดเป็นเป้าหมาย วิสัยทัศน์และเป้าหมายที่ดีจะต้องมีลักษณะดังนี้คือ ครอบคลุมทุกสิ่งที่อยากทำ มีความชัดเจนเฉพาะเจาะจงที่วัดผลได้ ท้าทายให้พยายาม และจำง่าย วิธีการคือ
1. พิจารณาว่า เราจะทำอะไรเพื่อพระเจ้า เพื่อตัวเราและคนที่เรานำ เป็นการกำหนดเป้าหมายชีวิตควรพิจารณาครอบคลุมชีวิตทุกด้าน ได้แก่
-   ด้านพันธกิจ เราอยากบรรลุเป้าหมายอะไรในการรับใช้พระเจ้า เช่น
เราจะเป็นพยานกับคนครบ..............คน ในปี............
เราจะนำกลุ่มย่อยครบ.............กลุ่ม ในปี..............
เราจะตั้งคริสตจักรครบ...........แห่ง ในปี...........
เราจะถวายทรัพย์ให้ได้จำนวน.................บาท ในปี.................
  • ด้านชีวิตส่วนตัวและครอบครัว เราอยากบรรลุเป้าหมายอะไรในด้านชีวิตส่วนตัวและครอบครัว เช่น
เราจะเรียนจบปริญญาตรีสาขา......................ในปี............
เราจะแต่งงานกับ....... .........ในปี............
เราจะมีลูก.......คน คนแรกปี.........คนที่สองในปี...........
เราจะมีบ้านส่วนตัวที่...................ในปี...............
เราจะมีเงินเก็บจำนวน...............บาท ในปี............
เราจะเกษียณในปี................
  • ด้านงานอาชีพ การเลี้ยงชีพเป็นด้านหนึ่งที่สำคัญมากของชีวิต เราอยากบรรลุเป้าหมายอะไรเกี่ยวกับงานอาชีพของเรา (เป้าหมายนี้อาจรวมเข้ากันกับเป้าหมายด้านพันธกิจ หากเราเป็นผู้รับใช้เต็มเวลา) เช่น
เราจะทำงานอาชีพ.........................ในปี.............
เราจะเข้าสู่ตำแหน่ง...................ในปี.................
หรือเราจะมีธุรกิจส่วนตัวคือ..........................ในปี...................
2. กำหนดเป้าหมายเป็นระยะๆ เพื่อจะบรรลุความสำเร็จได้ วิธีการคือกำหนดเป้าหมายระยะสุดท้ายก่อน แล้วจึงกำหนดเป้าหมายระยะกลางและระยะสั้นตามลำดับ เช่น กำหนดเป้าหมายปีสุดท้ายระยะ 10 ปี จากนั้นมากำหนดเป้าหมายระยะ 5 ปี จากนั้นก็มากำหนดเป้าหมาย 2 ปี เป้าหมาย 1 ปี และ 3 เดือน การมีเป้าหมายแต่ละระยะต้องส่งเสริมให้เป้าหมายสุดท้ายสำเร็จมากขึ้นๆ เป็นลำดับ
3. กำหนดแผนงานที่จะทำให้เป้าหมายสำเร็จโดยการกำหนดแผนยุทธศาสตร์และแผนปฏิบัติการ

แผนยุทธศาสตร์ (Strategic Plan) คือการระบุว่าเราจะทำให้เป้าหมายสำเร็จโดยใช้วิธีการใดบ้าง ส่วนแผนปฏิบัติการ (Action Plan) คือการระบุว่ายุทธศาสตร์ที่จะทำนั้นจะมีรายละเอียดอย่างไร ต้องทำอะไรก่อนหลังหรือทำไปพร้อมกัน ต้องทำเองหรือให้ใครทำ ต้องใช้ทรัพยากรอะไรบ้าง ต้องใช้เวลาเท่าไร งบประมาณเท่าไร และอุปกรณ์เครื่องมืออะไรบ้าง เป็นต้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น