วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

ผู้นำกับการแก้ปัญหา

ผู้นำกับการแก้ปํญหา
ในการทำหน้าที่ผู้นำมักจะต้องพบกับปัญหาอยู่เสมอ ผู้นำจึงควรพัฒนาทักษะในการแก้ปัญหาอย่างมีประสิทธิภาพ
หลักทั่วไปในการแก้ปัญหา
เมื่อพบปัญหา ให้ยึดหลักทั่วไปในการแก้ปัญหาดังนี้
  1. มีท่าทีที่ถูกต้องต่อปัญหา ท่าทีที่ถูกต้องต่อปัญหาคือมองปัญหาในแง่บวก อย่ากลัวปัญหา และอย่า
เครียดหรือกระวนกระวายกับปัญหา ให้ตระหนักว่าปัญหาเป็นเรื่องปกติที่ทุกคนต้องพบ ไม่มีใครไม่มีปัญหา และมองว่าอุปสรรคคืออุปกรณ์ วิกฤติคือโอกาส ปัญหาคือยากำลัง ให้เชื่อว่าทุกปัญหามีทางออก
  1. มีสติและความสงบใจในท่ามกลางปัญหา อย่าให้ปัญหาทำให้เราขาดสติ ตกใจจนเสียการควบคุม
ตัวเอง เสียบุคลิก จะทำให้เกิดปัญหานั้นเพิ่มขึ้นไปอีก
  1. วิเคราะห์สาเหตุที่แท้จริงของปัญหา ปัญหานั้นเป็นปัญหาจากข้อเท็จจริง หรือเป็นเรื่องของอารมณ์
ความรู้สึก หรือเป็นเรื่องผลประโยชน์
  1. หาวิธีแก้ปัญหาให้ตรงกับสาเหตุที่แท้จริง การแก้ปัญหาที่ไม่ตรงสาเหตุไม่สามารถแก้ปัญหาได้ 
หรืออาจแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปได้บ้าง แต่ในที่สุดปัญหาก็จะปะทุขึ้นมาอีก
  1. อย่าแก้ปัญหาหนึ่งแล้วไปก่อปัญหาใหม่ตามมา หรือหากมีปัญหาใหม่ตามมาก็ต้องให้เป็นปัญหาที่
เล็กกว่าปัญหาเก่า การแก้ปัญหาหนึ่งอาจก่อปัญหาใหม่ก็ได้ ผู้แก้ปัญหาต้องคาดการณ์ให้ได้ว่าปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้นกับปัญหาเก่านั้นอันไหนใหญ่กว่า ถ้าปัญหาใหม่ที่จะเกิดขึ้นใหญ่กว่า ก็ควรทนแบกปัญหาเก่าไปดีกว่า แต่ถ้าเล็กกว่าก็ยอมให้เกิดปัญหาใหม่ได้
วิธีแก้ปัญหาความขัดแย้ง
  1. ต้องวางตัวเป็นกลาง มีใจเป็นกลางและเป็นธรรม ทำใจให้ปราศจากอคติ อย่าเข้าข้างตนเอง หรือเข้าข้างใคร
  2. ในกรณีที่ต้องแก้ปัญหาความขัดแย้งของคนอื่น หากคู่กรณีสามารถจัดการแก้ไขความขัดแย้งกันได้เองและได้ผลดีด้วย เราก็ควรปล่อยให้เขาแก้ปัญหาเอง แต่ถ้าเขาแก้กันเองไม่ได้ หรือแก้ได้แต่ผลออกมาไม่ดีเท่าที่ควร เราก็ควรช่วยเป็นผู้ไกล่เกลี่ยให้
  3. ในการแก้ปัญหาความขัดแย้ง ให้ใช้หลักการหลายอย่างประกอบกันเพื่อให้เกิดผลดีที่สุด ทั้งหลักนิติศาสตร์ หลักรัฐศาสตร์ และหลักจิตวิทยา หลักนิติศาสตร์คือ หลักแห่งความถูกต้องและเด็ดขาด ส่วนหลักรัฐศาสตร์คือหลักแห่งประโยชน์และยืดหยุ่น ส่วนหลักจิตวิทยาคือหลักแห่งการเข้าใจจิตใจคน เข้าใจความต้องการของคน และจูงใจคน
  4. ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ พยายามอย่าชี้ชัดว่าใครผิดใครถูก ใช้การประนีประนอมโดยให้ยึดหลักว่าต่างคนก็มีส่วนถูก หรือเป็นหลักการที่เรียกว่าทุกคนเป็นฝ่ายชนะ (Win-Win) ไม่มีใครแพ้ไม่มีใครชนะฝ่ายเดียว ไม่มีใครถูกฝ่ายเดียวหรือผิดฝ่ายเดียว ไม่มีใครได้หรือเสียฝ่ายเดียว แม้ว่าในเรื่องนั้นอาจมีคนผิดคนถูกก็ตาม อย่าทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเสียหน้า เพราะจะทำให้เกิดทิฐิ และไม่ยอมแพ้ 
  5. วิธีที่สามารถนำมาใช้เพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้งมีหลายอย่าง ได้แก่
1) คงไว้ เป็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยตัดสินใจว่ายังจะไม่ทำอะไร ไม่แสดงความเห็น หรือปฏิกิริยาใดๆ ต่อความขัดแย้งนั้น รอดูจังหวะ รอเวลา รอดูท่าทีไปก่อน ลักษณะการแก้ปัญหาเช่นนี้มักเหมาะกับการแก้ปัญหาในขั้นเริ่มต้นเท่านั้น
2) นุ่มนวล เสนอความคิด อธิบาย และจูงใจให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทุกฝ่ายเห็นประโยชน์ต่างๆ ที่แต่ละฝ่ายจะได้รับ จึงไม่ควรมาขัดแย้งก้น
3) ใช้อำนาจเหนือ ใช้อำนาจที่ตนเองมีเหนือกว่าบังคับให้อีกฝ่าย หรือทุกฝ่ายยินยอม
4) ใช้ระเบียบ  เป็นการใช้ระเบียบ กฎเกณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่ขัดแย้งกันมาเป็นตัวตัดสิน
รวมไปถึงการใช้มติของที่ประชุมมาใช้เป็นข้อยุติด้วย
5) แยกกัน เป็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยให้ต่างฝ่ายต่างทำต่างอยู่ของตนเองไปไม่ต้อง
เกี่ยวข้องกัน และไม่ต้องเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน
6) ต่อรอง ให้ต่างฝ่ายต่างรอมชอมกันโดยต่อรองกันว่า ต่างฝ่ายต่างจะยอมหรือถอยให้กันได้เท่าไหร่ เป็นการพบกันครึ่งทาง ไม่มีใครได้ทั้งหมด ไม่มีใครเสียทั้งหมด
7)  ไม่ต่อต้าน เป็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยให้ฝ่ายหนึ่งไม่ต่อต้านอีกฝ่ายหนึ่ง เป็นการยอมฝ่ายเดียว แม้ว่าในใจอาจจะรู้สึกไม่เห็นด้วย
8) สนับสนุน เป็นการแก้ปัญหาความขัดแย้งโดยให้ฝ่ายหนึ่งสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามในขอบเขตหรือเงื่อนไขขนาดหนึ่งที่ตนรับได้ คือไม่เพียงแต่ไม่ต่อต้านเท่านั้น แต่ยังสนับสนุนอีกฝ่ายด้วย แต่สนับสนุนในขอบเขตที่ตนรับได้เท่านั้น
9) ร่วมมือ ให้ทั้งสองฝ่ายหรือทุกฝ่ายมาร่วมมือกันแก้ไขปัญหาความขัดแย้งนั้นอย่างสร้างสรรค์ คือ มาพูดคุยกันอย่างเปิดอก ฟังกันและกัน ใช้เหตุผล ไม่ใช้อารมณ์ แล้วช่วยกันวิเคราะห์ปัญหา และหาวิธีแก้ปัญหา

การใช้วิธีเหล่านี้ ต้องดูความเหมาะสมกับกรณีปัญหาและสถานการณ์ เช่น บางทีช่วงเริ่มต้นของปัญหาอาจใช้วิธีหนึ่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่งก็อาจต้องเปลี่ยนไปใช้อีกวิธีหนึ่งก็ได้ หรือเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปก็ใช้วิธีการที่เปลี่ยนไปด้วย และอาจใช้หลายวิธีประกอบกัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น